15 สิงหาคม 2024
CHOW ปรับโครงสร้างเป็นโฮลดิ้ง...
CHOW ปรับโครงสร้างองค์กรครั้งสำคัญ รองรับการขยายตัวทางธุรกิจ ยกระดับเป็นบริษัทโฮลดิ้งถือหุ้น 2 แกนธุรกิจสำคัญทั้งเหล็กและพลังงานทดแทน พร้อมเพิ่มหน่วยธุรกิจใหม่ “กัปตันแคช” เป็นธุรกิจที่ 3 เสริมความแข็งแกร่งให้กลุ่มธุรกิจ เพิ่มประสิทธิภาพในการบริหาร สรรหาบุคลากรที่เหมาะสมกับแต่ละหน่วยธุรกิจ สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้หลากหลาย เผยยังคงเน้นการลงทุนในธุรกิจหลัก และมองหาโอกาสใหม่ที่ให้ผลตอบแทนที่ดี ดูแลสังคม และสิ่งแวดล้อมไปพร้อมกัน พร้อมโชว์ผลงาน Q2 ปี 2567 กำไรต่อเนื่อง
นายปรมัตถ์ จุฬวนิช ประธานเจ้าหน้าที่ด้านการเงิน (CFO) บริษัท เชาว์ สตีล อินดัสทรี้ จำกัด (มหาชน) หรือ CHOW ผู้ประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์เหล็กแท่งยาว (Steel Billet) รายใหญ่ของประเทศ และธุรกิจพลังงานทดแทน ประเภทพลังงานแสงอาทิตย์ ซึ่งดำเนินธุรกิจผ่านบริษัท เชาว์ เอ็นเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) บริษัทย่อย เปิดเผยถึงการประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ ครั้งที่ 3/2567 วันที่ 13 สิงหาคม 2567 ว่าที่ประชุมได้มีมติให้ CHOW ปรับโครงสร้างกิจการของบริษัทฯ เป็นบริษัทโฮลดิ้งซึ่งดำเนินธุรกิจด้านการลงทุน (Holding Company) โดยถือหุ้นในธุรกิจเดิมที่มีอยู่ผ่านบริษัทย่อย โดยในธุรกิจเหล็กได้ตั้งบริษัทย่อย บริษัท เชาว์ สตีล แมนูแฟคเจอริ่ง จำกัด ขึ้นมาดำเนินธุรกิจเหล็กในเครือ CHOW ทั้งหมด ซึ่งคาดว่าทำธุรกรรมต่างๆ ที่เกี่ยวข้องให้เสร็จสิ้นภายในเดือนธันวาคม 2567
ทั้งนี้ ภายหลังการปรับโครงสร้างธุรกิจ CHOW จะมีสถานะเป็นบริษัท โฮลดิ้ง ที่ลงทุนใน 3 ธุรกิจหลัก คือ ธุรกิจเหล็กถือหุ้นผ่าน บริษัท เชาว์ สตีล แมนูแฟคเจอริ่ง จำกัด ในสัดส่วน 99.99% ธุรกิจพลังงานทดแทนถือหุ้นผ่านบริษัท เชาว์ เอ็นเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) ในสัดส่วน 87.36% และธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคลผ่านบริษัท กัปตัน แคช โฮลดิ้ง จำกัด ในสัดส่วน 76% ซึ่งเป็นธุรกิจใหม่ ที่ได้ดำเนินธุรกิจมาแล้วประมาณ 2 ปี หลังจากที่ได้รับใบอนุญาตประกอบกิจการในปี 2564 โดยโมเดลธุรกิจจะเน้นลูกค้าเฉพาะกลุ่ม และให้ความสำคัญกับการบริหารความเสี่ยง ควบคู่ไปกับการช่วยเหลือกลุ่มลูกค้าที่มีความจำเป็นแต่มีความยากลำบากในการเข้าหาแหล่งเงินทุน ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งในการดูแลสังคม ตามปณิธานของบริษัทฯ
“หลังการปรับโครงสร้างธุรกิจ CHOW ยังคงมุ่งเน้นการลงทุนใน 2 ธุรกิจหลัก คือ ธุรกิจเหล็ก และธุรกิจพลังงานทดแทน ส่วนธุรกิจสินเชื่อบุคคลในปัจจุบันนั้นจะยังไม่ส่งผลกับผลประกอบการของกลุ่มอย่างมีนัยสำคัญแต่อย่างใด โดยกลยุทธ์ทางธุรกิจมุ่งช่วยเหลือผู้เข้าไม่ถึงแหล่งเงินทุน พร้อมไปกับการพิจารณาบริหารความเสี่ยงอย่างรัดกุม ซึ่งที่ผ่านมาบริษัทสามารถช่วยเหลือลูกค้าจากหนี้นอกระบบได้หลายราย เป็นการลงทุนในธุรกิจสามารถสร้างผลตอบแทนที่เหมาะสมและเป็นส่วนหนึ่งในการร่วมดูแลสังคม”
ประธานเจ้าหน้าที่ด้านการเงิน กล่าวต่อถึงผลประกอบการประจำงวดสามเดือน และหกเดือน สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2567 ว่า บริษัทฯ และบริษัทย่อยมีผลประกอบการที่เป็นกำไรอย่างต่อเนื่อง โดยในไตรมาสที่ 2/2567 CHOW มีกำไรสุทธิ 39.53 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 519.5 จากขาดทุน 9.42 ล้านบาท ในช่วงเดียวกันของปีก่อน และในงวด 6 เดือนมีกำไรสุทธิ 129.91 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 1,107 จากขาดทุน 12.9 ล้านบาทในปี 2566 โดยผลประกอบการที่ปรับตัวดีขึ้นอย่างโดดเด่นมาจากการดำเนินธุรกิจในทุกๆ ประเภทของ CHOW เติบโตขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ส่งผลให้รายได้และกำไร ปรับเพิ่มขึ้นไปในทิศทางเดียวกัน เป็นการคอนเฟริ์มธุรกิจเทรินอะราวอย่างสมบูรณ์พร้อมรับการเติบโต
ผลกำไรไตรมาส 2/2567 ดังกล่าวมาจากการที่ CHOW สามารถสร้างรายได้กว่า 1,039.76 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 119.44 ล้านบาท หรือร้อยละ 23.7 โดยรายได้ที่เพิ่มขึ้นมาจากทั้งธุรกิจเหล็กและพลังงานทดแทน โดยในธุรกิจเหล็ก CHOW มีกระบวนการผลิตสินค้าทั้งเหล็กแท่งบิลเลตและเหล็กเส้นที่มีประสิทธิภาพจนสามารถลดต้นทุนในการผลิตสินค้า ส่งผลให้มีสินค้าที่ได้รับมาตรฐานอุตสาหกรรม และมีความหลากหลายในประเภทของสินค้าตามความต้องการของลูกค้า โดยในธุรกิจรับจ้างผลิตเหล็กแท่งบิลเลต บริษัทฯ ได้รับคำสั่งผลิตสินค้าเพิ่มมากขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อน ทำให้มีรายได้ครอบคลุมต้นทุนคงที่ของกระบวนการผลิตตั้งแต่ไตรมาสที่ 1 และ 2 สะท้อนให้มีกำไรเพิ่มขึ้น ในขณะที่ธุรกิจเทรดดิ้งสินค้าเหล็ก CHOW ยังสามารถใช้ประสบการณ์ของทีมงานในการเพิ่มรายได้จากการรักษาฐานลูกค้าเดิม (เหล็กกลางน้ำ) และขยายฐานลูกค้าเหล็กปลายน้ำ เพื่อขายสินค้าประเภทเหล็กแท่งบิลเลตและเหล็กเส้นที่ได้มาตรฐานอุตสาหกรรม จึงส่งผลให้ CHOW มีรายได้เพิ่มขึ้นจากการขายสินค้าดังกล่าว
ในขณะที่ธุรกิจพลังงานทดแทน CHOW มีรายได้จากการให้บริการก่อสร้างระบบผลิตกระแสไฟฟ้า (EPC) เพิ่มมากขึ้น อีกทั้งยังมีสัดส่วนการขยายตัวจากโครงการ Private PPA ซึ่งบริษัทฯ เป็นผู้ลงทุนระบบพลังงานแสงอาทิตย์ให้ลูกค้าและเป็นผู้ดูแลโครงการตั้งแต่ต้นจนจบ โดยในปี 2567 บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายจำนวนโครงการสะสม ซึ่งประกอบด้วยโครงการที่ดำเนินการในเชิงพาณิชย์เรียบร้อยแล้ว โครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง และโครงการที่อยู่ระหว่างการพัฒนารวมกันไม่น้อยกว่า 250 เมกะวัตต์ ส่วนโครงการโรงไฟฟ้าในประเทศญี่ปุ่น บริษัทฯ ได้ขายไฟเชิงพาณิชย์เพิ่มขึ้นอีก 2 เมกะวัตต์ ซึ่งจะสนับสนุนให้มีรายได้ในกลุ่มธุรกิจพลังงานทดแทนเพิ่มขึ้นในทิศทางเดียวกัน
“ผลการดำเนินธุรกิจในทุกหน่วยธุรกิจเป็นไปด้วยดีและมีกำไรอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ CHOW มีส่วนของผู้ถือหุ้นที่มั่นคง พร้อมที่จะต่อยอดธุรกิจเพื่อสร้างผลตอบแทนจากการดำเนินการที่ดีให้แก่ผู้ถือหุ้น สิ่งสำคัญคือการเติบโตอย่างต่อเนื่องบนความยึดมั่นการพัฒนาองค์กรอย่างยั่งยืน : ESG มาประยุกต์ใช้ในการบริหารงาน มุ่งเน้นความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม สังคม พร้อมกำกับดูแลกิจการให้มีความโปร่งใสและตรวจสอบได้ในทุกๆ กระบวนการทำงาน โดยเชื่อว่าการพัฒนาองค์กรภายใต้กรอบแนวความคิดแบบ ESG จะส่งผลให้กลุ่ม CHOW สามารถเติบโตและดำรงอยู่คู่กับสังคมไทยได้อย่างยั่งยืน”
เพิ่มเติม